tag:blogger.com,1999:blog-33465149493690722432024-02-08T06:59:45.817-08:00พืชสวนครัวของดีเมืองวิเศษชัยชาญhttp://www.blogger.com/profile/09685248768964638600noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-3346514949369072243.post-24142994631981986832008-12-15T20:34:00.000-08:002008-12-15T20:41:18.522-08:00<strong><span style="font-family:arial;color:#33cc00;">ผักสวนครัวรั้วกินได้</span></strong><br /> การปลูกพืชผักสมุนไพร สำหรับใช้ในครัวเรือน นอกจากจะปลูกในสวน ในแปลง ในกระถาง หรือในภาชนะปลูกอื่น ๆ แล้ว พืชผักสมุนไพรหลายชนิดเราสามารถนำมาปลูกเป็นรั้วบ้านได้ ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นรั้ว คือ เครื่องล้อมกั้นเป็นเขตของบ้านที่มีความสวยงามดูแปลกตา แตกต่างไปจากรั้วบ้านชนิดอื่น ๆ แล้ว รั้วสมุนไพรยังให้ใบ ให้หน่อ ให้ผล ให้ดอก ให้เรานำไปเป็นอาหารและยารักษาโรคได้อีกด้วย <br /> โดยทั่วไปพืชผักสมุนไพรที่ใช้ปลูกเป็นรั้วกินได้ มักใช้พืชผักสมุนไพรที่ปลูกง่าย ไม่ต้องการการดูแลรักษามากนัก ทนต่อโรคและแมลงได้ดี เพียงแค่ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เป็นครั้งคราวก็สามารถเจริญเติบโต และตัดแต่งเป็นรั้วบ้านได้ตามที่เราต้องการ<br /> <strong> <span style="color:#ffcc33;">1. รั้วที่ปลูกโดยพืชสมุนไพรยืนต้น</span></strong> ใช้พืชยืนต้นที่ให้หน่อ ใบ ดอก และผลเป็นอาหารและยารักษาโรค โดยนำมาปลูกเป็นแนวรั้วตามที่เราต้องการ พืชเหล่านี้มีลักษณะลำต้นตั้งตรง หรือ ทรงพุ่ม ยืนต้นอยู่ได้ด้วยตัวเอง สามารถตัดแต่งให้เป็นรั้วมีขนาดกว้างและสูงได้ตามต้อง<br />การ ได้แก่<br />รั้วที่ปลูกโดยพืชสมุนไพรยืนต้น ใช้พืชยืนต้นที่ให้หน่อ ใบ ดอก และผลเป็นอาหารและยารักษาโรค โดยนำมาปลูกเป็นแนวรั้วตามที่เราต้องการ พืชเหล่านี้มีลักษณะลำต้นตั้งตรง หรือ ทรงพุ่ม ยืนต้นอยู่ได้ด้วยตัวเอง สามารถตัดแต่งให้เป็นรั้วมีขนาดกว้างและสูงได้ตามต้องการ ได้แก่<br /><span style="color:#6600cc;"><strong>กระเจี๊ยบแดง</strong></span> ใบอ่อนใช้แกงส้มรสเปรี้ยวกำลังดี กลีบเลี้ยงใช้ทำแยม เชื่อมตากแห้งหรือต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบก็ได้ <br /><span style="color:#cc66cc;"><strong>สรรพคุณทางยาและวิธีใช้</strong></span><br />- ขับปัสสาวะ- แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือด<br />- แก้ไอ ขับเสมหะ<br /><strong><span style="color:#cc0000;">ข้อระวัง<br /></span></strong>จากการทดลองมีรายงานแสดงผลว่าการดื่มน้ำกระเจี๊ยบมีการขับกรดยูริคออกมาในปัสสาวะลดลง จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าส์ซึ่งมีปริมาณกรดยูริคในเลือดสูง และต้องขับออกมาให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ตกตะกอนในร่างกายของดีเมืองวิเศษชัยชาญhttp://www.blogger.com/profile/09685248768964638600noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3346514949369072243.post-65311027088104695692008-12-14T05:50:00.000-08:002008-12-14T06:00:31.858-08:00<strong><span style="color:#ff6666;"><span style="font-size:180%;"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;">พืชผักสวนครัว</span><br /></span></span></strong> การปลูกพืชผักสวนครัว มีความสำคัญเป็นอันดับแรกของชีวิตประจำวัน เพราะใช้เป็นอาหารในครัวเรือนได้ดี ถ้าปลูกมากมีเหลือก็จำหน่ายได้ และสามารถยึดเป็นอาชีพได้ ขอให้มีความยึดมั่นในธรรมชาติ มีความขยัน และอดทน การปลูกพืชผักสวนครัวมีหลักปฏิบัติ 5 ประการ<br />การเลือกเมล็ดพันธุ์เมล็ดพันธุ์มีความจำเป็นในการเริ่มต้นในการเพาะปลูก จึงควรศึกษาเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี แข็งแรง ไม่เป็นโรคง่าย คัดสรรแล้วเก็บรักษาไว้อย่างดีก่อนปลูก<br />การเตรียมดินคุณภาพของดิน จะเป็นตัวกำหนดการเจริญเติบโตของพืช การให้อาหารแก่ดินด้วยปุ๋ยชีวภาพจะทำให้ดินมีชีวิตและช่วยย่อยอินทรีย์วัตถุในดิน ให้ดินอุดมพร้อมแก่การเพาะปลูก<br /><br />2.1 แปลงใหม่ (ดินไม่สมบูรณ์)<br /> -ถ้าดินแข็งมาก อาจใช้เครื่องจักรช่วยในการไถก่อน ยกแปลง<br /> -ดินขาดอินทรีย์วัตถุ ควรแหวะท้องหมู ใส่ปุ๋ยแห้ง และรดด้วยปุ๋ยน้ำ<br /> -ยกร่องให้สวยงาม โรยปุ๋ยแห้ง ตร.ม. ละ 1 กำมือ รดด้วยปุ๋ยน้ำ คลุมด้วยฟางไว้ 5-7 วัน ปลูกพืชด้วยเมล็ดหรือกล้า<br /><br /> 2.2 แปลงเก่า (ดินสมบูรณ์)<br /><br /> หลังจากตัดผักหรือถอนผักออกแล้ว ถอนหญ้า ปรับปรุงแปลง (ไม่ต้องขุด) แล้วเริ่มต้นดังนี้<br /><br />-ใส่ปุ๋ยแห้ง ตร.ม.ละ 1-2 กำมือ ใช้จอบสับเบาๆ ให้คลุกกับดิน<br /><br />-คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง<br /><br />-รดด้วยปุ๋ยน้ำ 1-2 วัน<br /><br />-หมักไว้ 7 วัน ปลูกด้วยเมล็ดหรือกล้า<br />การปลูก<br />3.1 การปลูกด้วยเมล็ด<br /><br />-นำเมล็ดไปแช่ในน้ำจุลินทรีย์ ประมาณ 30 นาที หากผิวเมล็ดแข็งให้แช่นานหน่อย<br /><br />-แหวกหญ้าหรือฟางที่คลุมออก<br /><br />-ใช้ไม้กระดานหน้า 1/2 x 2 นิ้ว กดเป็นรอยลึก 1-2 เซนติเมตร<br /><br />-หยอดเมล็ดตามรอยที่กดไว้<br /><br />-คลุมฟางเหมือนเดิม<br /><br />-รดน้ำเช้าเย็น<br /><br />-2 วันแรกให้รดด้วยปุ๋ยน้ำช่วงเย็นวันละ 1 ครั้ง หลัง จากนั้น ให้รดปุ๋ยน้ำ 3 วัน / ครั้ง นอกนั้นรดน้ำปกติ<br /><br /><br /><br />3.2ปลูกด้วยกล้า<br /><br />การเพาะกล้ามี 2 ชนิด คือ<br /><br /><br />เพาะด้วยกะบะ<br /><br />-อาจเป็นภาชนะสำเร็จรูป หรือใช้ไม้ 1/2 x 2 นิ้ว หรือวัสดุอื่น ทำเป็นกระบะขนาด 50 x 50 หรือ 50 x 70 หรือ 50 x 100 เซนติเมตร ให้สามารถยกย้ายและวางบนพื้นได้สะดวก<br /><br />-ผสมปุ๋ยแห้งกับดินร่วน แกลบเผา อัตราส่วน 1 : 5 : 3 ลงในกระบะ<br /><br />-หยอดเมล็ดหรือหว่านเมล็ดให้ทั่วอย่าให้แน่นเกินไป<br /><br />-คลุมด้วยหญ้าแห้งหรือฟางบางๆ<br /><br />-รดด้วยปุ๋ยน้ำให้ชุ่ม<br /><br />-จากนั้นรดน้ำ เช้า-เย็น<br /><br />-รดปุ๋ยน้ำช่วงเย็นติดต่อกัน 3 วัน หลังจากนั้นรดปุ๋ยน้ำ 3 วัน/ครั้ง<br /><br /><br /><br /><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#3366ff;">การเพาะในแปลง<br /></span><br />-นำปุ๋ยแห้งและแกลบเผาผสมในดิน ในแปลง คลุกให้ทั่ว ทำหน้าดินให้ละเอียด<br /><br />-หยอดเมล็ด หรือ โรยเมล็ด<br /><br />-คลุมด้วยหญ้าแห้งหรือฟางแห้งบางๆ<br /><br />-รดปุ๋ยน้ำให้ชุ่มทั่วแปลง<br /><br />-รดน้ำ เช้า - เย็น<br /><br />-3 วันแรกรดปุ๋ยน้ำช่วงเย็นทุกวัน หลังจากนั้นรด 3 วัน/ครั้ง วันปกติรดน้ำธรรมดา<br />การดูแลรักษา<br />-ผักเกือบทุกชนิดเพาะกล้าก่อนปลูกจะดี เพราะถ้าให้ร่นระยะเวลาในการลงปลูก สามารถปลูกได้หลายรุ่น และดูแลรักษาง่ายยกเว้นพืชผักที่ย้ายกล้าไม่ได้ เช่น แครอท หัวผักกาด การปลูกด้วยกล้า ทำให้ประหยัดเมล็ดพันธุ์ได้ด้วย ดีกว่าปลูกด้วยเมล็ดแล้วต้องถอนทิ้งเมื่อผักแน่นเกินไป<br />-ปกติจะใส่ปุ๋ยแห้งครั้งเดียว แต่ถ้าผักมีอายุยาวเกิน 50 วัน ให้สังเกตว่าผักไม่สวย ไม่สมบูรณ์ ก็ใส่ปุ๋ยแห้งได้ระหว่างแถว ไม่ให้ถูกต้นพืชผัก<br />-การเตรียมแปลงดี ผักจะเจริญเติบโตเสมอกันทั้งแปลงผักต้นใดมีโรคให้งดน้ำ และรดด้วย EM สด ขยาย ผสมน้ำ 50 เท่า ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จึงให้น้ำต่อ<br />-ผักมีหัวให้ขุดแปลงลึกๆ แหวะท้องหมูบ่อยๆ และใส่ปุ๋ยแห้งผสมให้ดี<br />-การรดน้ำ ควรใช้บัวรดน้ำรูเล็กๆ ให้เป็นฝอยได้มากเท่าไรยิ่งดี<br />-ไม่ควรรดน้ำด้วยสายยางที่น้ำพุ่งแรงๆ จะทำให้ผักนอนราบ โดยเฉพาะผักกาดขาวจะห่อใบยาวขึ้นหากถูกน้ำซัดแรงๆ ทุกวัน<br />-พ่นด้วยสารไล่ศัตรูพืช หรือ สารป้องกันเชื้อรา ทุกๆ 3 วัน<br /><br /><br /><span style="color:#ff0000;">ข้อสังเกตุ</span> เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชโดยธรรมชาติ ควรปลูกผักกาดหอม ผักชีใบแหลม ปนกับผักอื่นๆ ปลูกต้นดาวเรือง ตะไคร้หอม ผกากรองไว้เป็นรั้ว และใช้ใบตะไคร้หอมมาคลุมแปลงผักจะป้องกันแมลงรบกวนได้ด้วย<br />การเก็บผลผลิต - การจำหน่าย<br />การเก็บผลผลิตควรดำเนินไปตามอายุของผักแต่ละประเภท และหาก ปลูกโดยใช้จุลินทรีย์ชีวภาพดังกล่าวข้างต้น ควรเก็บก่อนกำหนด เล็กน้อยเพราะ<br /><br />-ผักธรรมชาติเจริญเติบโตเร็ว<br />-ร่นระยะเวลาปลูก ลดแรงงาน และรายจ่าย<br />-หากเก็บช้าหรือเกินอายุทำให้ผักมีภูมิต้านทานต่ำเกิดโรคได้<br />-การเก็บควรใช้วิธีตัด ยกเว้นผักหัวใช้ถอน<br />-ผักที่เป็นผลควรเก็บอย่างปราณีต เพื่อให้โอกาสเกิดผลใหม่อีก เช่น ถั่ว แตง<br />-ผักทั่วไปเก็บแล้วล้างให้สะอาด บรรจุถุงเพื่อจำหน่าย-<br />ผักที่เป็นฝัก เช่น ถั่ว เก็บแล้วไม่ต้องล้าง ไม่ต้องพรมน้ำ<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#3333ff;">ข้อควรจำ</span><br /><span style="font-size:180%;color:#3333ff;"><br /></span>ผักธรรมชาติทนทาน ขั้วไม่หลุดง่าย เหี่ยวยาก ไม่ต้องแช่สารเคมี น้ำพรมผักหรือแช่ผักควรผสม EM ด้วย<br />ไม่ควรนำผลผลิตไปขายร่วมกับแผงผักเคมี จะทำให้เสียคุณภาพ ควรเปิดแผงผักปลอดสารพิษหรือผักธรรมชาติ เพื่อสะดวกต่อการเลือกซื้อของผู้บริโภค สามารถรับรองคุณภาพและสามารถกำหนดราคาได้ดีในอนาคต <br /></span><span style="font-size:130%;color:#ff9900;">ช่วงที่เหมาะสมในการปลูกพืชผัก<br /></span> กุมภาพันธ์- เมษายน<br /> - ผักชี หอม ผักบุ้งจีน ผักกาดหัว ถั่วฝักยาว แตงกวา มะระ ผักกาดเขียวปลี ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว<br />พฤษภาคม - กรกฎาคม<br /> - ผักคะน้า กุยช่าย บวบเหลี่ยม ข้าวโพดหวาน หอมแดง<br />สิงหาคม - ตุลาคม(ปลายฝน)<br /> - ผักชีลาว ผักโขม กุยช่าย ผักกาดขาว ผักกาดหอม พริก มะเขือเปราะ มะเขือยาว<br />ปลูกได้ทั้งปี<br /> - ผักสวนครัวต่างๆ เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ โหระพา แมงลัก ฯลฯของดีเมืองวิเศษชัยชาญhttp://www.blogger.com/profile/09685248768964638600noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3346514949369072243.post-29727575467819351062008-12-10T18:53:00.000-08:002008-12-10T18:54:17.078-08:00ของดีเมืองวิเศษสวัสดีอาจารย์ของดีเมืองวิเศษชัยชาญhttp://www.blogger.com/profile/09685248768964638600noreply@blogger.com0